SM Club IT: กรกฎาคม 2013

Y

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำนามบัตรไว้ใช้เองด้วย Word 2010

ทำนามบัตรไว้ใช้เองด้วย Word 2010

ความภูมิใจอย่างหนึ่งของคนเรา นั้นคือได้สร้างสรรสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองและสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องซื้อหา หรือสิ่งที่ทำนั้นก็เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่เหมือนใคร? สำหรับวันนี้จะมาแนะนำการทำนามบัตรในแบบของตัวเอง เพียงเรามีเครื่องพิมพ์ กระดาษสวยๆ และ Microsoft Word 2010 เราก็สร้างสรรผลงาน ?นามบัตร? โดยไม่ต้องเสียเวลา เสียเงิน ไปจ้างโรงพิมพ์พิมพ์ให้
วิธีทำนามบัตรด้วย Word 2010 ก็มีวิธีง่ายๆ ดังนี้
1.เปิดโปรแกรม Microsoft Word 2010 ขึ้นมา
2.คลิกเมนู File เลือก New แล้วคลิกที่ไอคอน Business Cards คลิกเลือก Print Business Cards
3.รอสักครู่ Word 2010 จะทำการเชื่อมโยงกับเว็บ Office.com เพื่อแสดงตัวอย่างของนามบัตรให้เราเลือก
4.เลือกรูปแบบนามบัตรที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม Download

business_card_01

5.โปรแกรมจะแสดงรูปแบบที่เราเลือก ซึ่งเราสามารถแก้ไขตามแต่ใจชอบ เมื่อแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยก็ทำการพิมพ์นามบัตรได้ตามปกติ
business_card_02

ที่มา notebookspec.com

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Windows 8 : ล็อกออนแบบไม่ต้องใส่พาสเวิร์ด

Windows 8 : ล็อกออนแบบไม่ต้องใส่พาสเวิร์ด

สำหรับคุณๆ ที่ทดลองใช้ Windows 8 มาแล้วจะรู้สึกได้ว่าตั้งแต่บูตเครื่องมาถึงหน้าล็อกออน จะเร็วกว่า Windows 7 เพราะทางไมโครซอฟต์ได้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ได้ใช้ (เข้าระบบ) ได้รวดเร็ว แต่ถ้าจะให้เร็วไปกว่านั้นเอาแบบล็อกออนอัตโนมัติ ผ่านหน้าล็อกออนเข้าหน้าเดสก์ทอป พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องมากรอกพาสเวิร์ดให้เสียเวลา (เหมาะสำหรับเครื่องที่มีผู้ใช้คนเดียว) ก็เป็นการดี
วิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยาก ซึ่งวิธีการทำก็จะเหมือนกับทำใน Windows 7 แต่ที่เอามาบอกก็สำหรับคนที่ไม่ใช้วิธีนี้จะได้เรียนรู้การปรับแต่ง Windows 7 ได้ตามใจชอบ
1.ให้กดคีย์ Windows Logo + R เพื่อเปิดหน้าต่าง Run พิมพ์ netplwiz ลงในช่องว่าง Open แล้ว Enter
?
2.คลิกเลือก User ที่รายการ User Name จะทำการล็อกออนอัตโนมัติ
3.คลิกเอาเครื่องถูกออกที่ Users must enter a user name and password to use this computerคลิก OK
?
4.ระบบจะแสดงหน้าต่างถามพาสเวิร์ดให้ใส่พาสเวิร์ดที่เดิมที่เคยใช้ 2 ครั้ง คลิก OK
?
หมายเหตุ : กรณีที่ต้องการยกเลิกการล็อกออนอัตโนมัติ ก็ให้คลิกใส่เครื่องหมายถูกที่ Users must enter a user name and password to use this computer คลิก OK

อ้างอิง notebookspec.com

Wi-Fi Hotspot ทำโน้ตบุ๊กให้เป็น Repeater กระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้อุปกรณ์อื่นได้ง่ายๆ

Wi-Fi Hotspot ทำโน้ตบุ๊กให้เป็น Repeater กระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้อุปกรณ์อื่นได้ง่ายๆ

บางครั้งตอนเราเล่นอินเตอร์เน็ตแล้วคอมพิวเตอร์ของเราสามารถรับสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ แต่บางครั้งอุปกรณ์สื่อสารของเราเช่นแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนกลับหาสัญญาณไม่เจอจนต้องเปลี่ยนไปใช้ 3G ให้เปลืองค่าอินเตอร์เน็ตแทนเสียอย่างนั้น ซึ่งการทำเช่นนั้นก็จะสิ้นเปลืองค่าอินเตอร์เน็ตเกินไป ทางทีมงานจึงมีโปรแกรม Wi-Fi Hotspot สำหรับกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตมาฝากกัน

19-07-2013 16-31-19

หน้าตาของโปรแกรมทั้งเรียบง่ายใช้งานง่ายเพราะเป็นภาษาไทยและคำสั่งก็เรียบง่ายมากอีกด้วย จะสร้างจะดูสถานะการทำงานของ Wi-Fi Hotspot ก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยคำสั่งภาษาไทยอีกด้วย

19-07-2013 16-31-36

ก่อนจะเริ่มใช้งาน Wi-Fi Hotspot นั้นเราต้องเริ่มตั้งค่า Wi-Fi Hotspot ให้เรียบร้อยก่อน โดยตั้งชื่อและรหัสผ่านก่อนจะกด “สร้าง” แล้วหน้าต่างโปรแกรมจะปิดไป แล้วเราก็สามารถใช้คำสั่งเปิดปิด Wi-Fi ได้ทันที

19-07-2013 16-31-47

ส่วนของคำสั่ง “สถานะ Wi-Fi Hotspot” จะเป็นการเช็คว่าตัวเครื่องมีไดร์เวอร์ Wi-Fi แบบไหนอย่างไร ซึ่งโปรแกรมจะแสดงรายละเอียดทั้งหมดเอาไว้โดยละเอียดทีเดียว เมื่อเราอ่านเสร็จแล้วก็สามารกด Close เพื่อปิดหน้าต่างนี้
เป็นโปรแกรมเล็กๆ ง่ายๆ สำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนโน้ตบุ๊กให้เป็น Wi-Fi Hotspot ให้อุปกรณ์อื่นสามารถใช้งานได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่โปรแกรมนี้เขียนขึ้นมาให้ใช้งานได้ถึง Windows 7 เท่านั้น ส่วนใครที่ใช้งาน Windows 8 ก็เป็นอันอดใช้งานไป

Download : Wi-Fi Hotspot ; File Size = 833 KB

อ้างอิง notebookspec.com

สำรองไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ SSD ได้ง่ายๆ ด้วยโปรแกรม Comodo Backup

สำรองไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ SSD ได้ง่ายๆ ด้วยโปรแกรม Comodo Backup

การแบ็กอัพไฟล์หรือการสำรองไฟล์ เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าให้ความปลอดภัยในการใช้งานข้อมูลมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีข้อมูลจำนวนมากเก็บไว้ในเครื่อง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสีย ยิ่งการเก็บไว้ในไดรฟ์ที่ติดตั้งระบบด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญด้วยการที่ปัจจุบันมีฮาร์ดดิสก์แบบใหม่อย่าง SSD หรือ Solid State Drive ซึ่งเป็นฮาร์ดดิสก์ในลักษณะของNAND Flash ที่ทราบกันดีว่า หากเกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อใด โอกาสจะแก้ไขหรืแอกู้ข้อมูลกลับมาได้นั้นยากเย็นทีเดียว หากมีการเตรียมตัวที่ดีแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านั้นได้ดีทีเดียว
ส่วนวิธีการนั้นก็ทำได้หลายวิธี ตั้งแต่วิธีเดิมๆ ง่ายๆ ก็คือ การ Copy ด้วยตัวเอง ด้วยการสั่ง Copy file ลงในอุปกรณ์ที่ต้องการจัดเก็บ อย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอกหรือจะใส่ไว้ในแผ่นดีวีดีก็ได้ แต่วิธีการนี้ดูจะช้าและไม่แน่นอน เพราะจะใช้เวลาค่อนข้างนาน พอเริ่มขี้เกียจก็ไม่อยากทำ ซึ่งก็ดูจะไม่เกิดเป็นผลที่ชัดเจนนั่นเอง ดังนั้นอีกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยจัดการ อย่างเช่น โปรแกรม Comodo Backup ที่ใช้งานง่ายและมีแบบฟรีเวอร์ชันให้ใช้งานอีกด้วย
 
1
เริ่มแรกให้ดาวน์โหลดโปรแกรม Comodo Backup มาติดตั้งไว้ในเครื่องเสียก่อน โดยจะมีฟังก์ชันในการแบ็คอัพปกติและการแบ็คอัพร่วมกับระบบ Cloud storage แต่ต้องมีการสร้าง Account สำหรับการอัพโหลดและจัดเก็บ
 
 
 
2
เมื่อเข้าสู่หน้าโปรแกรม ควรเข้าไปตั้งค่าสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน ด้วยการคลิกที่ Setting ที่แถบเมนูด้านบนขวา จากนั้นตั้งค่าในส่วนของ Backup Location ด้วยการคลิกที่ Browse… แล้วเลือกไดรฟ์และโฟลเดอร์ที่ต้องการจัดเก็บ ถ้าในกรณีที่ต้องการเก็บลงในฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอก ก็ให้ต่อฮาร์ดดิสก์เสียก่อน
 
 
 
3
เลือกฮาร์อดิสก์หรือพื้นที่ในการจัดเก็บ Backup file เพื่อกำหนดให้ระบบเข้าสู่การจัดเก็บเป็นค่าปกติทุกครั้ง
 
 
 
4
จากนั้นคลิกไปที่แถบ Backup ด้านขวามือของหน้าต่าง ให้เข้าไปกำหนดรูปแบบการแบ็กอัพหรือ Backup Type ในหัวข้อนี้ สามารถเลือกได้ว่าต้องการแบ็กอัพแบบใด มีให้เลือก 3 แบบคือ
-Full แบ็กอัพข้อมูลทั้งหมดตามที่กำหนดไว้
-Differential แบ็กอัพเฉพาะไฟล์ที่ไม่ได้มีแบ็กอัพไว้ในที่จัดเก็บ
-Incremental แบ็กอัพเฉพาะไฟล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงหรืออัพเดต จากแบ็กอัพเดิมที่เก็บเอาไว้
 
 
 
5
เสร็จแล้วลงมาที่ช่องด้านล่างในหัวข้อ Backup Format ซึ่งเป็นการเลือกรูปแบบในการจัดเก็บ ในที่นี้เลือกได้ตามใจชอบ ว่าต้องการทำเป็น CBU, Zip, ISO หรือเป็นแบบธรรมดาก็ได้เช่นกัน
 
 
 
6
เลือกไดรฟ์ของไฟล์ต้นทางที่ต้องการจัดเก็บ โดยเลือกครั้งละหลายไดรฟ์หรือจะทีละไดรฟ์ก็ได้เช่นกัน จากนั้นคลิก Next
 
 
 
7
เสร็จแล้วก็จะมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ที่โปรแกรมจะจัดการให้ โดยจะกำหนดชื่อไฟล์ของตัว Backup ให้หรือถ้าต้องการเปลี่ยนชื่อและสถานที่จัดเก็บก็เปลี่ยนจากตรงนี้ได้ทันที
 
 
 
8
นอกจากนี้ในกรณีที่ต้องการตั้งเวลาหรือ Schedule ในการจัดเก็บให้ระบบทำเป็นประจำอัตโนมัติ ก็สามารถเข้ามาตั้งได้ที่หัวข้อ Backup ด้านซ้ายมือ โดยเรามีหน้าที่ในการกำหนดช่วง วัน เวลาและความถี่ได้เอง เมื่อเสร็จแล้วให้คลิกที่ Save Schedule ได้ทันที
 
 
เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่สามารถสร้างความปลอดภัยให้กับระบบข้อมูลของคุณ โดยเฉพาะคนที่ใช้ SSD ที่ไม่แน่ใจในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูล Comodo Backup น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้คุณสำรองข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากทีเดียว

อ้างอิง notebookspec.com

[Tip] ปรับแต่งให้ใช้ง่ายๆ กับ Power User Menu บน Windows 8

ปรับแต่งให้ใช้ง่ายๆ กับ Power User Menu บน Windows 8

การปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันการใช้งาน ถือเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนนิยมทำกัน ไม่ว่าจะเป็นบนวินโดวส์ใหม่หรือเก่า ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าอยากได้ฟังก์ชันที่ซ่อนอยู่ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น บางส่วนก็นิยมการเปลี่ยนหน้าตารูปโฉมที่สวยงาม แต่บางส่วนต้องการปรับแต่งเพื่อให้สะดวกต่อการเรียกใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบรรดาเมนูลัดต่างๆ บนวินโดวส์ 8 เอง ก็มีฟังก์ชันในหลายส่วนที่บางครั้งจัดเก็บเอาไว้เสียมิดชิดจนทำให้เรียกใช้งานไม่สะดวกนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดปุ่ม Start ออกไป แล้วนำเอา Power User Menu มาใช้แทน ซึ่งจะว่าไปก็สะดวกเหมือนกัน แต่ก็ยังคงไม่สะดวกเท่า เพราะด้วยรูปแบบที่คุ้นเคย รวมถึงการจัดการสิ่งต่างๆ ผ่านทางเมนู Start ได้ง่ายกว่า จึงทำให้ผู้ใช้ยังคงติดใจกับการใช้งานในรูปแบบดังกล่าวอยู่ดี อย่างไรก็ดียังถือว่าเป็นฟังก์ชันที่ช่วยให้การเข้าถึงเมนูการทำงานต่างๆ ของระบบทำได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญเวลาเรียกใช้ก็ง่าย
อย่างไรก็ดีมาทำความรู้จักและการเรียกใช้ Power User Menu นี้กันก่อน สำหรับฟังก์ชันดังกล่าวนี้ เรียกได้ว่าเป็นหัวใจในการทำงานอีกอย่างหนึ่งของวินโดวส์ โดยจะเป็นการรวมเอาการทำงานสำคัญๆ ต่างๆ เอาไว้มากมาย ให้สามารถเรียกใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ System, Device manager, Power option, Control panel รวมไปถึง Search, Run, File Explorer เรียกได้ว่าแทบจะครบครันอยู่ในเมนูเดียว เหมือนกับเป็น Menu Start อยู่กลายๆ ถ้าติด Pin to… ได้อีกหน่อยละก็ ใช่เลยทีเดียว ส่วนการเรียกใช้นั้น ทำได้ 2 แบบคือ ใช้เมาส์คลิกไปที่มุมซ้ายล่างสุดของจอภาพหรือจะใช้กดคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่ม Windows + X นั่นเอง ส่วนจะใช้งานตัวใดบ้าง ก็ต้องลองไปดูกัน วิธีคือ
แต่เนื่องจากเมนูดังกล่าวถูกใส่ฟังก์ชันมาจนแน่นทีเดียว บางทีอาจจะตาลายในการเรียกใช้งานได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้กับจอเล็กๆ หรือเป็นแบบหน้าจอสัมผัสบางทีอาจจะเรียกใช้งานได้ยากขึ้น แต่ทราบหรือไม่ว่ามีวิธีที่ช่วยปรับการใช้งานได้สะดวกขึ้น ด้วยการลบเมนูบางส่วนออกไปได้ รวมถึงจัดการกับฟังก์ชันย่อยที่อยู่ภายในเมนูดังกล่าวนี้ได้อีกด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีการทำก็ไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด แค่เพียงเข้าไปที่เมนูตามหัวข้อนี้ C:UsersusernameAppDataLocalMicrosoftWindowsWinX 
จากนั้นเมื่อเข้าสู่หน้าจอต่างของ WinX เพื่อทำการ Edit Menu แล้ว ก็ให้เข้าไปดูในหัวข้อแต่ละส่วนได้ทันที โดยในแต่ละหัวข้อก็จะมีการแยกย่อยเป็นข้อเล็กๆ คือ Group1, Group2 และ Group3 ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้เองว่าจะลบตัวใด
การลบหัวข้อใดออก ก็ให้เลือกที่หน้าหัวข้อนั้นๆ แล้ว Delete ได้ทันที ไม่มีขั้นตอนอะไรมาก เพียงแต่ดูให้แน่ใจก่อนว่าต้องการจะลบในส่วนใดออก ส่วนถ้าต้องการจะนำที่ลบไปแล้วกลับมา ก็ใช้วิธีเรียกจากฟังก์ชัน Search แล้วพิมพ์เมนูที่ต้องการจะเรียกคืนกลับมานั่นเอง
สิ่งนี้เป็นวิธีง่ายๆ ในการจัดการกับระบบ Power User Menu ที่รวดเร็วและทำเองได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อระบบ

อ้าง notebookspec.com

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

[เตือนภัย] เตือนภัยจากข่าวดัง!!เลือกอุปกรณ์ของปลอม อาจเป็นอันตรายถึงขั้นบาดเจ็บ และเสียชีวิต …

เตือนภัยจากข่าวดัง!!เลือกอุปกรณ์ของปลอม อาจเป็นอันตรายถึงขั้นบาดเจ็บ และเสียชีวิต …
fake-adaptor-charger-is-danger-to-deathในช่วงตลอดเดือนกรกฎาคมมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากการใช้งานสมาร์ทโฟนทั้งฝั่ง Android อย่าง Samsung และ ฝั่ง iOS โดย Apple  จนเป็น Talk Of The Town ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่สมาร์ทโฟนระเบิด จนเหตุการณ์ล่าสุดไฟช็อต จนเสียชีวิต ด้วยเพราะเหตุเลือกแบตเตอรี่หรืออุปกรณ์เสริมปลอม 
samsung-galaxy-s3-explode-bomb-at-switzerland-01ยกตัวอย่างกรณีเด็กสาววัย 18 ปีชาว Switzerland ใช้งาน samsung galaxy s3 แต่เกิดระเบิดคากระเป๋ากางเกงเป็นแผลไหม้บริเวณขาของเธอ ซึ่งทางซัมซุงในประเทศ Switzerland ขอนำเครื่องที่ระเบิดนี้ไปตรวจสอบพิสูจน์สาเหตุการระเบิดที่ซัมซุงเกาหลีใต้ และ ล่าสุดทางซัมซุง และ สำนักงาน EMPA Materials Science and Technology ได้ยืนยันผลการตรวจสอบเครื่องดังกล่าวแล้วว่า เหตุระเบิดนี้เกิดจากการใช้แบตเตอรี่ของปลอม ซี่งไม่แน่ใจว่าเด็กอายุ 18 ปีนี้ ได้รู้ตัวหรือเปล่าหรือเค้าตั้งใจซื้อแบตเตอรี่ปลอมหรือไม่  แต่ที่แน่ๆจากการตรวจสอบของ 2 หน่วยงานโดยซัมซุงและ EMPA Materials Science and Technology ยันว่าเครื่องที่ระเบิดนี้ใช้แบตปลอมแน่ๆ
apple-iphone4-electronic-shock-kill-air-hostessอีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นข่าวโด่งดังทั่วโลกเมื่อ แอร์โฮสเตสสาว ของสายการบิน China Southern Airlines วัย 23 ปี  โดนไฟช็อตเสียชีวิต จากการใช้งานโทรศัพท์ iPhone 4 โดยเสียบชาร์จมือถือไฟไปแล้วโทรไปด้วย เกิดอุบัติเหตุไฟช็อต โดยสาเหตุเบื้องต้นนี้เกิดจากการใช้ Adaptor ของ iPhone ของปลอมด้วย  ซึ่งเป็นไปได้เพราะ ตัวชาร์จ iPhone ปลอมนี้เป็นไฟเเบบ 100 – 120 Volts  ขณะที่ประเทศจีนใช้ไฟแบบ 220 Volts  ในขณะที่ตัวชาร์จ iPhone ของแท้ ที่ไม่เกิดไฟช็อตเป็นส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจสอบจาก Apple สหรัฐอเมริกา ก่อนขายจริงตามร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการติดตั้งจากทาง Apple
บทสรุปคือแม้ว่าอุปกรณ์เสริมของแท้  จะดูแพงหน่อยแต่การใช้งานของแท้จะทำให้คุณไม่เสียตังค์ไปฟรีๆ  และช่วยให้คุณรอด ปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเหล่านี้  หากใช้ของปลอมอยู่ อุบัติเหตุแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
เมื่อรู้แบบนี้แล้วคิดจะซื้อของปลอมแบบนี้ใช้หรือเปล่า ?
อ้างอิง 
it24hrs.com

เมื่อ facebook โดนขโมย โดนแฮคทำอย่างไรดี ?

เมื่อ facebook โดนขโมย โดนแฮคทำอย่างไรดี ?

report-my-facebook-account-hacked-04มีคำถามจากผู้ที่มาถามไว้ทาง Facebook Page   IT24Hrs – ไอที 24 ชั่วโมง by ปานระพี ( ที่ fb.com/it24hrs )  ว่า “ผมโดนขโมย Facebook จะต้องทำอย่างไรดี …..?”

report-my-facebook-account-hacked-01สิ่งที่ต้องดำเนินการเบื้องต้น คือ ให้บอกเพื่อนที่เล่น facebook ช่วยรายงานบัญชีของเราที่ถูกขโมยไป ดังรูปนี้

report-my-facebook-account-hacked-02จากนั้น เลือก นี่คือข้อมูลส่วนตัวเก่าของฉัน  และเลือกกู้ บัญชีผู้ใช้นี้คืนเพราะถูกแฮค

report-my-facebook-account-hacked-03และมีขั้นตอนการดำเนินต่างๆอีกมากมายที่คุณสามารถแจ้งทีมงาน facebook ให้ความช่วยเหลือโดยตรงได้ผ่านทางช่องทางนี้ >>  คลิกที่นี่ เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีโดนแฮค โดนขโมย
 อ้างอิง it24hrs.com

แบตเตอรี่ของเรายังสภาพดีหรือไม่ เช็คได้ทั้งโปรแกรมและ Command Prompt

แบตเตอรี่ของเรายังสภาพดีหรือไม่ เช็คได้ทั้งโปรแกรมและ Command Prompt

แหล่งพลังงานสำคัญสำหรับโน้ตบุ๊กทุกเครื่องนอกจากอะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟบ้านเข้าเครื่องแล้วก็จะมีแบตเตอรี่อีกหนึ่งทางทีทำให้โน้ตบุ๊กใช้งานได้แม้จะไม่ต้องเชื่อมต่อแบตเตอรี่เข้าเครื่อง แต่ถ้าใช้งานไปนานๆ แล้วหลายๆ คนก็อาจจะไม่แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของเราจะยังสามารถใช้งานได้ดีเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่ต้องห่วง เพราะวันนี้ทางทีมงานมีวิธีตรวจสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่มาฝากให้ทุกท่านได้ทราบกัน
เช็คอายุการทำงานด้วยโปรแกรม CPUID HWMonitor หนึ่งในโปรแกรมสารพัดประโยชน์ที่เอาไว้เช็คตัวเครื่องซึ่งสามารถใช้เช็คได้ด้วยว่าแบตเตอรี่ของเรายังคงมีประสิทธิภาพในการทำงานเต็มที่หรือไม่ โดยพอเราติดตั้งโปรแกรมแล้วก็เลื่อนลงมาเช็คที่คำสั่ง “Levels” ว่าตอนนี้ Wear Level ของแบตเตอรี่เราอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ ซึ่งถ้า Wear Level ของเรายิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ก็หมายความว่าแบตเตอรี่เรายิ่งเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น

ดาวน์โหลดโปรแกรม CPUID HWMonitor ได้ที่นี่


ใช้วิชาเช็คผ่าน Command Prompt ก็ได้ไม่ต้องง้อโปรแกรม วิธีนี้จะเป็นการเซฟข้อมูลของหน้าข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานแบตเตอรี่ของเราว่าตอนนี้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับวิธีการเช็คก็ไม่ยากนัก ทุกคนสามารถทำตามได้เลย
1
เริ่มต้นให้เรากด Windows+R เปิดคำสั่ง Run… แล้วพิมพ์คำว่า “cmd” ลงไปเพื่อเปิดหน้า Command Prompt ออกมา จากนั้นให้เราพิมพ์คำว่า “powercfg -batteryreport” ลงไปในช่องคำสั่ง จากนั้นโปรแกรมจะแจ้งว่าตอนนี้โปรแกรมได้ทำการเซฟ Data Log ของแบตเตอรี่เราเอาไว้ให้แล้ว (Battery life report saved to C:\Users\…\battery-report.html.” พอขึ้นหน้าต่างเช่นนี้แล้วก็ปิดหน้า Command Prompt ไปได้เลย
 
2
จากนั้นให้เราเปิดหน้า My Computer ขึ้นมาก่อนจะสังเกตที่แถบ Address Bar ด้านบน จะเห็นว่าข้างไอคอนรูปคอมพิวเตอร์จะมีช่อง Drop Down Box แบบในภาพ ให้กดคลิกซ้ายแล้วเลือกที่ชื่อ User ของเราเพื่อเปิดหน้าที่เก็บไฟล์ Data Log ของแบตเตอรี่ออกมา
3
จะเห็นว่าไฟล์ที่เป็น Data Log เกี่ยวกับตัวเครื่องของเราจะถูกบันทึกเอาไว้ในรูปแบบของไฟล์ .html ให้เรากดคลิกขวาแล้วเลือก Open with… จากนั้นให้เลือกเป็นเบราเซอร์ที่เราใช้งานเพื่ออ่านไฟล์ Data Log ที่ตัวเครื่องบันทึกเอาไว้ให้
4
พอเปิดกับเบราเซอร์ของเราแล้วจะเห็นว่าไฟล์ Data Log จะแสดงรายละเอียดของตัวเครื่องของเราให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ของเราชื่ออะไร, รุ่นอะไร และพอเลื่อนลงมาด้านล่างจะเห็นว่าตัวไฟล์จะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ให้เราทราบว่ามีความจุเท่าไหร่, ใครเป็นผู้ผลิตและเป็นแบตเตอรี่แบบไหนให้เราทราบ
แค่ขั้นตอนง่ายๆ ไม่ว่าจะใช้โปรแกรมหรือมีวิธีการเช็คผ่านทาง Command Prompt ก็ทำให้เราได้รู้ว่าตอนนี้แบตเตอรี่ของเรามีสภาพเป็นอย่างไร มีความจุและสภาพการใช้งานยังดีอยู่หรือเปล่าซึ่งอายุของแบตเตอรี่จะยาวหรือสั้นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานของเราทั้งนั้น
 ถ้าใครอยากรู้ว่าวิธีการทำให้แบตเตอรี่ยังคงสภาพการใช้งานได้ดีที่สุดต้องทำอย่างไรก็คลิกได้ที่นี่เลย

อ้างอิง notebookspec.com

วิธีทำให้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คอยู่ได้นานที่สุดและการใช้แบตเตอรี่ที่ถูกต้อง

วิธีทำให้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คอยู่ได้นานที่สุดและการใช้แบตเตอรี่ที่ถูกต้อง

หลายท่านเวลาที่ต้องการนำโน๊ตบุ๊คไปใช้ต่างสถานที่ และอยากให้แบตเตอรี่อยู่ได้นานๆ เช่น ไปนั่งพิมพ์งานที่ร้านกาแฟ หรือ แม้กระทั่งเวลาไปเรียน ซึ่งแบตเตอรี่จะต้องสามารถอยู่ได้ 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ โดยการตั้งค่านั้นจะเน้นไปทาง Maximize Battery Life, Low Power, Power Saving โดยการตั้งค่าแบบนี้จะเหมาะสำหรับผู้ใช้งาน เช่น ทำงานเอกสาร , เล่นอินเตอร์เน็ตและเรียน หรือสำหรับท่านที่เสียบ Adapter แต่ต้องเปิดคอมทิ้งไว้ เช่น โหลดบิท ก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน จะช่วยให้ให้เครื่องทำงานไม่หนักและไม่ร้อน
ขั้นตอนการตั้งค่ามีดังนี้
011. คลิ๊กที่รูปแบตเตอรี่ที่มุมล่างขวาของหน้าขอ จากนั้นเลือก Adjust Screen Bringhtnress
image
2. จากนั้นเลือกเป็น Power Saver > Change Plan Settings
image
3. ตั้งค่าตามภาพด้านบนเลยครับ ส่วนความสว่างก็ตามที่เราต้องการเลย (สำหรับท่านที่เปิดทิ้งไว้เฉยๆ แนะนำให้ปรับเป็นซ้ายสุด) จากนั้นกด Change Advanced Power Settings
image4. ตั้งค่าในส่วนของ
PCI Express > Link State Power Manangemet ตั้งค่า On Bettery , Plugged in ให้เป็นMaximum Power Savings
Processor power management > Maximum processor state ตั้งเป็น 50% สำหรับใช้งานเบาๆ แต่ถ้าหากเปิดไว้เฉยๆให้ตั้งเป็น 30% ครับ
image
5. เลื่อนลงมาก็จะเป็นในส่วนของ การ์ดจอ คือ
Switchable Dynamic Graphics > Global settings ตั้งค่า On Bettery , Plugged in ให้เป็นMaximum Power Savings
ATI Graphic Power Settings
หมายเหตุ : ในส่วนนี้เครื่องที่ผมใช้เป็น AMD+ATI ซึ่งไม่แน่ใจว่าทาง Intel+Nvidia จะเป็นเหมือนกันไหม หากมีก็หรือคล้ายกันก็ให้ปรับเป็นแบบ Power Savings
การตั้งค่านี้อาจจะช่วยได้ไม่เยอะ แต่ที่จะเห็นได้ชัดคือการใช้งานของเรา ถ้าใช้โปรแกรมที่ใช้ทรัพยากรเยอะก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว ถ้าใช้งานประหยัดแบต

เมื่อได้แบตเตอร์รี่มาใหม่ (กรณีซื้อ Notebook มาใหม่ๆ)
1. ควรชาร์ตโดยการปิดเครื่อง Notebook ไว้ประมาณ 8-10 ชั่วโมง ทำให้ได้แบบนี้ประมาณ 3 ครั้ง โดยไม่จำเป็นต้อง 3 ครั้งติดต่อกัน
2. อย่าใช้แบตเตอรี่จนหมด หรือเหลือเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ต่ำสุดควรอยู่ที่ 15%-20%

การใช้แบตเตอรี่ที่ถูกต้อง

1. ถ้าต้องการใช้ Notebook เป็นเวลานานๆ แนะนำการเสียบ Adaptor ที่ชาร์ตไฟไว้ด้วยตลอดเวลา สำหรับ Notebook รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีระบบตัดไฟอัตโนมัตือยู่แล้วเมื่อชาร์ตประจุเต็ม ที่สำคัญคือ ห้ามถอดแบตโดยเด็ดขาด
2. การชาร์ตแบตเตอรี่สามารถ ชาร์จได้ตลอดเวลา เมื่อไหร่ก็ได้ อารมณ์คล้ายชาร์จไฟเข้ากับมือถือ 
3. ในรอบประมาณ 1 เดือน หรือใช้ไปประมาณ 30 ครั้ง ควรเคลียร์ประจุแบตเตอรี่ โดยการใช้งานจนหมด หรือเกือบหมดมากๆ แล้วค่อยปิดเครื่อง หลังจากนั้นจึงทำการชาร์ตตามปกติ

อ้างอิง notebookspec.com

[Tip] เร่ง Google Chrome ให้เปิดหน้าเว็บได้เร็วทันใจแค่ 4 ขั้นตอน

เร่ง Google Chrome ให้เปิดหน้าเว็บได้เร็วทันใจแค่ 4 ขั้นตอน

จากครั้งก่อนที่ทางทีมงานนำเสนอวิธีการปรับแต่ง Mozilla Firefox เพื่อให้ประมวลผลหน้าเว็บไซต์ได้รวดเร็วขึ้นแล้ว ครั้งนี้เป็นคราวของ Google Chrome อีกเบราเซอร์ยอดนิยมจากทาง Google ที่ทำงานได้เร็วอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เราจะมาเร่งความเร็วให้ Google Chrome ทำงานได้เร็วยิ่งกว่าเดิมอีก ซึ่งวิธีการก็ง่ายมากและไม่ซับซ้อนอีกด้วย
 
1
เริ่มต้นให้เราพิมพ์คำว่า about:flags เข้าไปที่ Address Bar ก่อน แล้ว Google Chrome จะแจ้งเตือนกับเราว่าการปรับแต่งนี้อาจก่อปัญหาตามมาในภายหลังได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะการปรับแต่งครั้งนี้ทางทีมงานทดสอบแล้วว่าทำได้ ปลอดภัยและไม่ทำให้เกิดผลเสียกับเบราเซอร์ของเราแน่นอน
 
2
มองหาคำสั่ง “ใช้ GPU ประสานการแสดงผลในทุกหน้าเว็บ” แล้วเลือกในช่องตัวเลือกให้เป็นคำว่า “เปิดใช้งานแล้ว” เป็นขั้นตอนแรก
  
3
มองหาคำสั่ง “ปิดใช้งาน Canvas 2 มิติที่ได้รับการเร่ง” แล้วกดที่คำสั่ง “เปิดการใช้งาน” ที่เขียนเอาไว้ด้านล่างเป็นตัวอักษรสีน้ำเงินพร้อมขีดเส้นใต้
4
ที่แถบด้านล่างสุดจะมีแถบแจ้งว่า “การเปลี่ยนแปลงของคุณจะมีผลในครั้งต่อไปที่คุณเปิด Google Chrome” แล้วสังเกตที่แถบด้านล่างจะมีคำว่า “เปิดใช้งานใหม่เดี๋ยวนี้” ให้เราคลิกที่คำสั่งนั้นหนึ่งครั้งแล้ว Google Chrome จะถูกเปิดใหม่ และจะเห็นได้ว่าเบราเซอร์ทำงานได้เร็วกว่าเดิมมาก
 
 
เป็นวิธีง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอนเพื่อให้ Google Chrome สามารถทำงานได้เร็วยิ่งกว่าเดิม โดยทางทีมงานได้ทดสอบกับ Google Chrome ที่ใช้งานอยู่แล้วปรากฏว่าสามารถประมวลผลหน้าเว็บไซต์ได้เร็วกว่าเดิมมากทีเดียว ซึ่งถ้าใครอยากเปิดหน้าเว็บไซต์ได้เร็วกว่าเดิมก็ปรับแต่งตามขั้นตอนด้านบนเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย

อ้างอิง notebookspec.com

[Tip] 9 วิธีการปรับแต่ง Mozilla Firefox ให้ทำงานได้เร็วขึ้น

9 วิธีการปรับแต่ง Mozilla Firefox ให้ทำงานได้เร็วขึ้น

หนึ่งในเบราเซอร์ยอดนิยมนอกจาก Google Chrome กับ Internet Explorer แล้ว ก็จะลืม Mozilla Firefox ไปไม่ได้เลย เพราะเบราเซอร์นี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันทีเดียว แต่ถ้าใครใช้งานเบราเซอร์เดิมๆ แล้วรู้สึกว่าการตอบสนองนั้นทำงานได้ช้าแล้วอยากให้เร็วขึ้นกว่านี้ล่ะก็ ทางทีมงานมีวิธีการปรับแต่งให้เจ้าเบราเซอร์นี้ทำงานได้เร็วขึ้นมาฝากกัน
สำหรับการปรับแต่งการทำงานของ Firefox ในครั้งนี้ ทางทีมงานอิงการปรับแต่งกับ Mozilla Firefox เวอร์ชั่น 22 ซึ่งผู้ใช้ที่ใช้งานเวอร์ชั่นที่เก่ากว่านี้หรือใหม่กว่านี้อาจจะแตกต่างกันกับที่ทางทีมงานทำการปรับแต่งอยู่เล็กน้อย 
1
เริ่มต้นให้เราพิมพ์คำสั่ง about:config ลงไปที่ Address bar ของเบราเซอร์ก่อน จากนั้นโปรแกรมจะขึ้นหน้าต่างแจ้งเตือนขึ้นมาว่าการเข้าสู่ส่วนปรับแต่งที่เป็นแกนของโปรแกรมนี้อาจก่อปัญหาได้ อย่างไรขอให้ระวังด้วย ซึ่งถ้าเราพร้อมแล้วให้กดที่ “I’ll be careful, I promised” 
 
จากนั้น Firefox จะโหลดหน้าต่างแบบในภาพขึ้นมาให้เรา โดยส่วนนี้จะเป็นชุดคำสั่งที่ควบคุมการทำงานทั้งหมดของ Firefox ซึ่งการปรับแต่งในครั้งนี้เราจะใช้ช่อง Search ที่อยู่ด้านบนค้นหาคำสั่งที่เราต้องทำการปรับแต่ง
2
การปรับแต่งนั้นทำได้ง่ายมาก เมื่อเราค้นหาเจอชุดคำสั่งที่เราต้องทำการปรับแต่งแล้ว ให้เราคลิกขวาที่แถบคำสั่งนั้นก่อนจะกดที่คำสั่ง Toogle ก็จะสามารถปรับค่าได้ และบางส่วนที่เป็นตัวเลขที่ต้องกรอกค่าจะเปลี่ยนเป็นคำสั่ง Modify ซึ่งเมื่อเราพร้อมกันแล้วให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
 
3
พิมพ์คำว่า “pipelining” ลงไปในช่อง Search แล้วจะขึ้นชุดคำสั่งเหมือนในภาพขึ้นมา ให้เราปรับแต่งดังนี้
  • network.http.pipelining: ให้เปลี่ยนค่าเป็น true
  • network.http.proxy.pipelining: ให้เปลี่ยนค่าเป็น true
  • network.http.pipelining.maxrequests: ให้เปลี่ยนค่าเป็น 8
4
พิมพ์คำว่า network.http.max-connections ลงไปในช่อง Search จากนั้นให้เราเลือกเปลี่ยนจากค่าเดิมเป็น 96
 
5
ค้นหาคำว่า browser.link.open_newwindow.restriction แล้วคลิกขวาเปลี่ยนค่าเป็น 0 (ศูนย์) ซึ่งการตั้งค่านี้ Firefox จะเปลี่ยนจากการเปิด Pop-up เป็นหน้าต่างแยกเป็นแท็บหนึ่งแท็บแทน
 
6
Search คำว่า layout.spellcheckDefault แล้วเปลี่ยนค่าจากค่าเดิมเป็น 2 ซึ่งการปรับแต่งนี้จะทำให้ Firefox เปลี่ยนแบบการเช็คคำผิดจากการตรวจทีละหลายๆ บรรทัดเป็นทีละกล่องข้อความแทน
 
7
พิมพ์หาคำว่า browser.search.openintab แล้วเปลี่ยนค่าเป็น true ซึ่งจะทำให้ตอนใช้ Firefox ค้นหาสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนจากการเปิดจากหน้าปัจจุบันเป็นเปิดแท็บใหม่เพิ่มขึ้นอีกแท็บได้
 
8
เปลี่ยนคำว่า browser.bookmarks.autoExportHTML จากค่าเดิมให้เป็น true โดยส่วนนี้จะเป็นการปรับแต่งรูปแบบการเก็บค่า Bookmark ของ Firefox คือจะเปลี่ยนจากการบันทึกแบบ places.sqlite เป็น bookmarks.html
 
9
ตั้งค่า view_source.editor.external ให้เป็น true โดยการตั้งค่านี้จะทำให้เราสามารถดู Source Code ของหน้าเพจนั้นๆ ได้ และเราจะสามารถใช้โปรแกรมอื่นเพื่อดูคำสั่ง Source Code ได้โดยพิมพ์คำสั่ง view_source.editor.path แล้วเลือกโปรแกรมที่เราต้องการใช้ดู Source Code ได้ด้วย
 
 
ด้วยวิธีการง่ายๆ แค่นี้ก็จะทำให้ Mozilla Firefox ของเราทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมแล้ว โดยทางทีมงานทดสอบเปิดหน้าเว็บที่มีโปรแกรม Flash เยอะๆ และเว็บไซต์ที่กินทรัพยากรเครื่องมากๆ ก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เรียกว่าวิธีการปรับแต่งนี้ทำให้เจ้า Firefox ของเราดีขึ้นกว่าเดิมเป็นกองทีเดียว

อ้างอิง notebookspec.com

ช่วยกดไลค์ติดตามข่าวสารด้วยนะครับ ^^